ความเป็นวิทยาศาสตร์ของศิลปะและความงามในมุมมองของพุศาสนาเพื่อพัฒนาชีวิตและสังคม: กรณีศึกษาทัศนะของท่านพุทธทาสภิกขุ Science as Appear in Art and Aesthetic in Buddhist Perspective in Developing Life And Society : Case Study of Buddhadasa Bhikkhu Point of Vie

Authors

  • พิชัย สุขวุ่น Suratthni Rajabhat University

Keywords:

ความงาม, พุทธทาสภิกขุ, วิทยาศาสตร์, ศิลปะ

Abstract

งาน วิจัยเรื่อง “ความเป็นวิทยาศาสตร์ของศิลปะและความงามในมุมมองของพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาชีวิตและสังคม : กรณีศึกษาทัศนะของท่านพุทธทาสภิกขุ” มีความประสงค์ที่จะศึกษาว่า ในมุมมองของพุทธศาสนานั้น จะอธิบายศิลปะและความงามให้ชัดเจนทำนองเดียวกับวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร จากการศึกษาพบว่า ศิลปะ ความงาม และวิทยาศาสตร์ เป็นการค้นคว้าหาความจริงทั้งสิ้น ในมุมมองของพุทธศาสนาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวกัน ความแตกต่างที่เราเข้าใจ เป็นแต่เพียงความเห็นที่ไม่สมบูรณ์ และด้วยความคิดของเราเองเท่านั้น ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้แตกต่างกัน ท่านพุทธทาสภิกขุเปิดมุมมองนี้ให้เราเห็นอย่างลึกซึ้ง ผู้วิจัยเห็นว่าทัศนะดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าพิจารณาทั้งนักทฤษฎีศิลปะความ งาม และนักวิทยาศาสตร์

research entitled “Art as Appear in Science in Buddhist Perspective for Lives and Social Development: Case Study of Buddhadasa Bhikkhu Point of View” The objective of the research is to explain art and aesthetic as clear as science. The result reveals that art, aesthetic, and science are truth. In the view point of Buddhism, these truth are identity, but we understand it differently with our imperfect view, and our view make things different. Reverent Buddhadasa Bhikkhu show us this point clearly. Researcher believe that his point of view
worth to considering both art theory, aesthetic, and scientists.

Downloads

Published

2014-11-26

How to Cite

สุขวุ่น พ. (2014). ความเป็นวิทยาศาสตร์ของศิลปะและความงามในมุมมองของพุศาสนาเพื่อพัฒนาชีวิตและสังคม: กรณีศึกษาทัศนะของท่านพุทธทาสภิกขุ Science as Appear in Art and Aesthetic in Buddhist Perspective in Developing Life And Society : Case Study of Buddhadasa Bhikkhu Point of Vie. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (Journal of Humanities and Social Sciences, SRU), 5(1), 39–64. Retrieved from https://e-journal.sru.ac.th/index.php/jhsc/article/view/101